วันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

งานเชื่อมโลหะวิทยา > บทที่ 3: การตรวจสอบและคุณภาพในงานเชื่อม

 บทที่ 3: การตรวจสอบและคุณภาพในงานเชื่อม

การตรวจสอบและคุณภาพในงานเชื่อมเป็นขั้นตอนที่สำคัญอย่างมากในการตรวจสอบว่างานเชื่อมมีคุณภาพและความเชื่อถือที่สูง ๆ การควบคุมคุณภาพและการตรวจสอบเป็นขั้นตอนสำคัญที่สามารถป้องกันข้อผิดพลาดและปัญหาในงานเชื่อม ในบทที่ 3 นี้เราจะทำความรู้จักกับกระบวนการการตรวจสอบและการทดสอบงานเชื่อม เพื่อให้คุณเข้าใจว่าเป็นอย่างไรที่มีคุณภาพในงานเชื่อม และวิธีการที่นิยมใช้ในการตรวจสอบและทดสอบในงานเชื่อม.

3.1 ความสำคัญของการตรวจสอบและคุณภาพในงานเชื่อม

การตรวจสอบและคุณภาพมีบทบาทที่สำคัญในงานเชื่อม การสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง โดยควบคุมคุณภาพในกระบวนการการผลิตและการเชื่อม มีผลต่อความเชื่อถือของผลิตภัณฑ์นั้นในการใช้งานและประสิทธิภาพของงานเชื่อมโลหะ.

หัวข้อ 3.1: ความสำคัญของการตรวจสอบและคุณภาพในงานเชื่อม

ในบทที่ 3: การตรวจสอบและคุณภาพในงานเชื่อม, เราสนทนาถึงความสำคัญของการตรวจสอบและคุณภาพในงานเชื่อม นี่คือเหตุผลที่การตรวจสอบและคุณภาพมีความสำคัญในงานเชื่อม:

  1. 1. คุณภาพผลิตภัณฑ์: การตรวจสอบและคุณภาพในงานเชื่อมช่วยในการควบคุมและรับรองว่าผลิตภัณฑ์ที่เชื่มออกมามีคุณภาพที่ต้องการ คุณภาพสูงเป็นสิ่งสำคัญในงานเชื่มเนื่องจากผลิตภัณฑ์ต้องทนทานต่อแรงและสภาพแวดล้อมที่ทนต่อความตึงเครียด.

  2. 2. ความปลอดภัย: การตรวจสอบคุณภาพช่วยในการควบคุมความปลอดภัยในงานเชื่ม การผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุหรือความเสียหายในงานเชื่ม.

  3. 3. ประหยัดทรัพยากร: การตรวจสอบคุณภาพช่วยในการลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีคุณภาพ มันช่วยในการปรับปรุงกระบวนการการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการสูญเสีย.

  4. 4. ความมั่นใจของลูกค้า: การมีคุณภาพสูงในผลิตภัณฑ์ช่วยในการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ลูกค้ามักต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงและความทุ่มเทในกระบวนการการผลิต.

  5. 5. ความเชื่อถือในตลาด: การมีคุณภาพสูงในผลิตภัณฑ์ช่วยในการสร้างความเชื่อถือในตลาด ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจมีความรุนแรงและรวดเร็ว.

  6. 6. เปิดโอกาสในตลาดระหว่างประเทศ: การมีระบบการตรวจสอบและคุณภาพที่เป็นทางการช่วยให้ผลิตภัณฑ์สามารถเข้าสู่ตลาดระหว่างประเทศ ซึ่งสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจไปสู่ระดับสากล.

  7. 7. ความสนใจในสิ่่งแวดล้อม: การตรวจสอบคุณภาพช่วยในการลดการสูญเสียของวัสดุและการลดปริมาณขยะในกระบวนการการผลิต, ทำให้งานเชื่อมเป็นกิจกรรมที่ยั่งยืนต่อสิ่่งแวดล้อม.

            การตรวจสอบและคุณภาพในงานเชื่อมเป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรห้ามให้ข้าม มันช่วยในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง, ปลอดภัย, และเชื่อมที่คงทนต่อแรงและสภาพแวดล้อม รวมถึงเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าและตลาด

3.2 กระบวนการการตรวจสอบ

ในส่วนนี้เราจะทำความรู้จักกับกระบวนการการตรวจสอบที่ใช้ในงานเชื่อม เช่นการตรวจสอบด้วยสายเส้น, การตรวจสอบด้วยสารสี, การตรวจสอบด้วยการยิงรังสีเอ็กซ์, และการใช้เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ในการตรวจสอบงานเชื่อม

หัวข้อ 3.2: กระบวนการการตรวจสอบ

ในบทที่ 3: การตรวจสอบและคุณภาพในงานเชื่อม, การอธิบายกระบวนการการตรวจสอบเป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากมีความสำคัญในการควบคุมและการยืนยันคุณภาพของงานเชื่อม นี่คือข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการการตรวจสอบ:

  1. 1.การตรวจสอบตอนแรก (Visual Inspection): การตรวจสอบตอนแรกเป็นขั้นตอนพื้นฐานในการตรวจสอบคุณภาพของงานเชื่อม ผู้ตรวจสอบนำตรวจสอบของวัสดุเบื้องต้น การตรวจสอบตอนแรกช่วยในการระบุปัญหาเริ่มต้นและรับทราบการแก้ไขต่าง ๆ ที่จำเป็น.
    การตรวจสอบตอนแรก (Visual Inspection) เป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการการตรวจสอบในงานเชื่ม มันเป็นการตรวจสอบแบบสากลที่ใช้การมองด้วยตาเปล่าเพื่อตรวจสอบผลิตภัณฑ์หรือวัสดุเชื่มที่ยังไม่ผ่านกระบวนการการตรวจสอบด้วยสารสนเอกหรือเทคโนโลยีอื่น ๆ การตรวจสอบตอนแรกมีลักษณะดังนี้:
    1. 1.1 การตรวจสอบสากล: การตรวจสอบตอนแรกเริ่มต้นด้วยการตรวจสอบด้วยตาเปล่าโดยใช้ความสามารถในการมองและการระบุความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นบนผลิตภัณฑ์หรือวัสดุเชื่ม นี้เป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญในการรับรองว่าผลิตภัณฑ์มีคุณภาพและเป็นไปตามข้อกำหนดของลูกค้า.

    2. 1.2 คุณสมบัติทางเรียก: การตรวจสอบตอนแรกอาจประกอบด้วยการตรวจสอบคุณสมบัติทางเรียกเช่น ขนาด, รูปร่าง, และมิติของผลิตภัณฑ์ เพื่อรับรองว่ามันตรงตามข้อกำหนด.

    3. 1.3 การตรวจสอบการตรวจสอบตอนแรก: การตรวจสอบตอนแรกช่วยในการตรวจสอบว่ากระบวนการการผลิตเป็นไปตามข้อกำหนดหรือไม่ รวมถึงช่วยในการรับรองความถูกต้องของการตรวจสอบและระบบคุณภาพในโรงงาน.

    4. 1.4 ระบุปัญหาและแก้ไข: การตรวจสอบตอนแรกช่วยในการระบุปัญหาที่เกิดขึ้นและตรวจสอบความถูกต้องของแนวทางแก้ไขที่จำเป็น มันช่วยในการแก้ไขปัญหาที่พบเจอตอนต้นก่อนที่ผลิตภัณฑ์จะถูกผลิตเสร็จ.

    5. 1.5 ควบคุมคุณภาพ: การตรวจสอบตอนแรกเป็นการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยสำคัญในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง มันช่วยในการควบคุมความปลอดภัยของงานเชื่มและลดความเสี่ยงของความผิดปกติหรืออุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น.

    การตรวจสอบตอนแรกเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยในการควบคุมคุณภาพและความถูกต้องของงานเชื่มตั้งแต่ขั้นตอนเริ่มต้นของกระบวนการการผลิต การตรวจสอบนี้ช่วยในการรับรองว่าผลิตภัณฑ์มีคุณภาพสูงและตรงตามข้อกำหนดของลูกค้า โดยลดความผิดพลาดและความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นในภายหลังของกระบวนการการผลิตและช่วยในการรักษาความปลอดภัยและคุณภาพของผลิตภัณฑ์.

     

  2. 2.การตรวจสอบด้วยสารสนเอกสารเช่น Dye Penetrant Testing (DPT) และ Magnetic Particle Testing (MPT): การตรวจสอบด้วยสารสนเอกเป็นกระบวนการการตรวจสอบที่ใช้สารสนเอกเพื่อตรวจสอบรอยร้าวและตำแหน่งของความผิดปกติบนพื้นผิวของวัสดุเชื่อม การตรวจสอบด้วยสารสนเอกช่วยในการตรวจสอบแต่ละพื้นผิวเพื่อค้นหาความผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้น.

     การตรวจสอบด้วยสารสนเอกสารเช่น Dye Penetrant Testing (DPT) และ Magnetic Particle Testing (MPT) เป็นกระบวนการการตรวจสอบที่ใช้สารสนเอกเพื่อค้นหาความผิดปกติบนผลิตภัณฑ์หรือวัสดุเชื่อม นี่คือข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการการตรวจสอบด้วยสารสนเอกสาร:

    1. 2.1 Dye Penetrant Testing (DPT) (การทดสอบด้วยสารสนเอกสารประสาทธิภาพ): DPT เป็นกระบวนการการตรวจสอบที่ใช้สารสนเอกสารประสาทธิภาพซึ่งเป็นสารที่มีความเหมาะสำหรับการซึมผ่านแผลคอบของวัสดุเชื่ม กระบวนการนี้มีขั้นตอนดังนี้:

      • 2.1.1 การทาสารสนเอกสารบนพื้นผิวที่จะตรวจสอบ.
      • 2.1.2 การรอให้สารสนเอกสารเข้าสู่แผลคอบโดยซึมผ่านและสั่งให้เข้าสู่ข้อผิดปกติ (ถ้ามี) หรือสารสนเอกสารจะช่วยในการปักหมุดที่เข้าสู่แผลคอบ.
      • 2.1.3 การเช็คการหักมายาซ์ที่เข้าสู่แผลคอบ ซึ่งเมื่อสารสนเอกสารถูกล้างออกจะสร้างการปักหมุดที่สามารถมองเห็นได้.

    1. 2.2 Magnetic Particle Testing (MPT) (การทดสอบด้วยแม่เหล็ก): MPT เป็นกระบวนการการตรวจสอบที่ใช้การแม่เหล็กเพื่อค้นหาความผิดปกติบนวัสดุเชื่มที่มีความเหมาะสำหรับการตรวจสอบด้วยแม่เหล็ก กระบวนการนี้มีขั้นตอนดังนี้:

      • 2.2.1 การสร้างศูนย์แม่เหล็กที่ไฟฟ้าเคลื่อนที่ผ่านมา ซึ่งจะสร้างแม่เหล็กชั่วคราวบนผลิตภัณฑ์.
      • 2.2.2 การหาตำแหน่งความผิดปกติโดยเปรียบเทียบแม่เหล็กชั่วคราวที่ถูกสร้างขึ้นกับผลิตภัณฑ์ ถ้ามีความผิดปกติ, แม่เหล็กชั่วคราวจะช่วยในการระบุและมองเห็นความผิดปกติที่มีคุณสมบัติแม่เหล็กที่แตกต่าง.

    ทั้ง DPT และ MPT เป็นเครื่องมือที่มีความสามารถในการตรวจสอบและค้นหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นบนผลิตภัณฑ์หรือวัสดุเชื่อม โดยรูปร่างของความผิดปกติและรอยร้าวจะปรากฎบนผลิตภัณฑ์หลังจากกระบวนการการตรวจสอบด้วยการล้างออก การสารสนเอกสารและแม่เหล็กจะช่วยในการค้นหาความผิดปกติที่มีคุณสมบัติแตกต่างอย่างชัดเจน การตรวจสอบด้วยสารสนเอกสารเช่น DPT และการตรวจสอบด้วยแม่เหล็กเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยของงานเชื่อมและวัสดุเชื่อม.

     สารที่ใช้ใน Dye Penetrant Testing (DPT) ของรอยเชื่อม
    ในการทดสอบด้วยสารสนอาหารสาหร่าย (Dye Penetrant Testing - DPT) บนรอยเชื่อมหรือผิววัสดุที่ต้องการตรวจสอบคุณภาพของรอยเชื่อม, สารสนอาหารสาหร่ายที่ใช้มักประกอบด้วยชุดสารต่าง ๆ ที่มีหน้าที่ในกระบวนการนี้:
    1.Penetrant: สารสนอาหารสาหร่ายหรือสารที่สามารถซึมเข้าไปในรอยแตกหรือผิววัสดุที่ต้องการตรวจสอบ ซึมเข้าไปและสะสมอยู่ในรอยแตกหรือช่องโพรงที่อาจมีอยู่. สารสนอาหารสาหร่ายมักเป็นสารเหลวและมีคุณสมบัติที่ช่วยในการตรวจสอบคุณภาพ.
    2.Developer: สารความเข้ม (developer) ถูกใช้ในขั้นตอนหลังการล้างสารสนอาหารสาหร่ายออกจากผิววัสดุ สารความเข้มช่วยในการดูและเปิดเผยรอยแตกหรือความผิดปกติที่อาจมีในวัสดุ รอยแตกหรือความผิดปกติที่มีสารสนอาหารสาหร่ายอยู่จะทำให้สารความเข้มจะเข้มขึ้นและสร้างรอยแสดงออกมา.
    3.Emulsifier (Optional): ในบางกรณี, สารอุจจาระห์ (emulsifier) อาจถูกใช้เพื่อช่วยในกระบวนการล้างสารสนอาหารสาหร่าย. สารอุจจาระห์ช่วยในการล้างสารสนอาหารสาหร่ายจากผิววัสดุและเปิดเผยรอยแตกอย่างดี.
    4.Cleaner (Optional): สารทำความสะอาด (cleaner) อาจถูกใช้ในกระบวนการล้างสารสนอาหารสาหร่าย สารทำความสะอาดช่วยในการล้างออกสารสนอาหารสาหร่ายอย่างมีประสิทธิภาพ.
    5.Developer Remover (Optional): ในบางกรณี, สารนำเข้าผู้ผิดพลาด (developer remover) อาจถูกใช้ในขั้นตอนเพื่อล้างสารความเข้มจากผิววัสดุหลังจากกระบวนการตรวจสอบ.
    สารที่ใช้ใน Dye Penetrant Testing มีหลายประเภทและมีคุณสมบัติต่าง ๆ ซึ่งอาจเหมาะกับการใช้ในงานที่แตกต่างกัน การเลือกใช้สารที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับลักษณะของวัสดุ, การตรวจสอบคุณภาพที่ต้องการ, และเกณฑ์คุณภาพที่เป็นไปตามมาตรฐานของงานที่จะตรวจสอบ.

  1. 3.การตรวจสอบด้วยแสงสนใจ (Radiographic Testing - RT): การตรวจสอบด้วยแสงสนใจเป็นกระบวนการการตรวจสอบที่ใช้รังสีแสงสนใจเพื่อสร้างรูปภาพของภายในวัสดุเชื่อม นี้ช่วยในการค้นหาลักษณะของความผิดปกติเช่น รอยร้าว, รอยเชื่อมผิดปกติ, และข้อต่อที่ไม่ถูกต้อง.

  2. การตรวจสอบด้วยแสงสนใจ (Radiographic Testing - RT) เป็นกระบวนการการตรวจสอบที่ใช้รังสีแสงสนใจ (X-ray) หรือรังสีกัมมา (gamma-ray) เพื่อสร้างภาพที่แสดงความผิดปกติภายในวัสดุเชื่อม นี่คือข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการ RT:

      1. 3.1 แสงสนใจ: ในกระบวนการ RT, มีการใช้รังสีแสงสนใจ (X-ray) หรือรังสีกัมมา (gamma-ray) ที่ผ่านผลิตภัณฑ์ที่จะตรวจสอบ รังสีจะสร้างภาพที่แสดงความผิดปกติภายในวัสดุเชื่อม เช่น รอยร้าว, รอยเช็ด, รอยต่อ, หรือกลุ่มแอ่งอากาศที่อาจเกิดขึ้น.

      2. 3.2 ฟิล์มหรือเซนเซอร์: ในกระบวนการ RT, มีการใช้ฟิล์มหรือเซนเซอร์เพื่อจับภาพของรังสีที่ผ่านผลิตภัณฑ์ ฟิล์มจะถูกวางไว้ในตำแหน่งที่ต้องการหรือสามารถใช้เซนเซอร์ดิจิทัลเพื่อสร้างภาพดิจิทัลที่สามารถปรับแต่งและวิเคราะห์ในภายหลัง.

      3. 3.3 การวิเคราะห์ภาพ: ผู้ตรวจสอบจะวิเคราะห์ภาพที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อระบุความผิดปกติภายในวัสดุเชื่อม พวกเขาจะค้นหารอยร้าว, รอยเช็ด, รอยต่อ, หรือลักษณะอื่น ๆ ที่อาจเป็นความผิดปกติ. การวิเคราะห์ภาพจะช่วยในการระบุความถูกต้องของผลิตภัณฑ์และคุณภาพของงานเชื่อม.

      4. 3.4 ความละเอียดสูง: RT เป็นกระบวนการการตรวจสอบที่มีความละเอียดสูงและสามารถตรวจจับความผิดปกติขนาดเล็ก ซึ่งอาจไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่สามารถเห็นได้ด้วยการใช้รังสีแสงสนใจ.

      5. 3.5 การใช้ความปลอดภัย: RT มีการใช้รังสีแสงสนใจ ที่อาจมีผลกระทบต่อคนหรือสิ่งแวดล้อม ดังนั้นความปลอดภัยในการใช้รังสีแสงสนใจมีความสำคัญ และควรจะได้รับการควบคุมและปฏิบัติตามมาตรฐานสากลและกฎหมายท้องถิ่น.

      6. 3.6 คุณสมบัติของวัสดุ: RT เป็นได้มาตรฐานในการตรวจสอบคุณสมบัติของวัสดุเชื่อมที่มีความหนาแน่นและสามารถใช้กับวัสดุที่หลากหลาย เช่น เหล็ก, อลูมิเนียม, เหล็กกล้า, และวัสดุที่มีความหนาแน่นต่าง ๆ.

      การ RT เป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจสอบคุณภาพและความถูกต้องของงานเชื่อมและผลิตภัณฑ์ เป็นกระบวนการที่มีความสามารถในการตรวจจับความผิดปกติที่เล็กและชัดเจน และช่วยในการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยของงานเชื่มในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น การผลิตเชื่อม, การก่อสร้าง, การจัดการพลังงาน, และการก่อสร้างโครงสร้างใหญ่ เช่น สะพานและอาคารสูง.
  3. 4.การตรวจสอบด้วยเสียงความถี่สูง (Ultrasonic Testing - UT): การตรวจสอบด้วยเสียงความถี่สูงเป็นกระบวนการการตรวจสอบที่ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อตรวจสอบโครงสร้างภายในวัสดุ นี้ช่วยในการค้นหารอยร้าว, รอยเชื่อมผิดปกติ, และความผิดปกติอื่น ๆ ในวัสดุ.

    การตรวจสอบด้วยเสียงความถี่สูง (Ultrasonic Testing - UT) เป็นกระบวนการการตรวจสอบที่ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อค้นหาความผิดปกติภายในวัสดุเชื่อม นี่คือข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการ UT:

    1. 4.1 คลื่นเสียง: ในกระบวนการ UT, มีการส่งคลื่นเสียงความถี่สูงผ่านผลิตภัณฑ์ที่ต้องการตรวจสอบ คลื่นเสียงจะถูกส่งออกจากเครื่องส่งสัญญาณและกระบวนการการรับคลื่นเสียงด้วยเซนเซอร์หรือเซนเซอร์คู่ชนิด (transducer) เพื่อตรวจจับความผิดปกติ.

    2. 4.2 ภาพทางเสียง: คลื่นเสียงจะสะท้อนกลับหากพบความผิดปกติภายในวัสดุเชื่อม ซึ่งสามารถสร้างภาพทางเสียงบนหน้าจอเครื่อง UT คลื่นเสียงจะใช้เวลาส่งกลับมาและระยะทางที่คำนวณจากคลื่นเสียงจะช่วยในการระบุความผิดปกติและตำแหน่งของความผิดปกติในวัสดุเชื่อม

    3. 4.3 ความละเอียดสูง: UT เป็นกระบวนการการตรวจสอบที่มีความละเอียดสูงและสามารถตรวจจับความผิดปกติขนาดเล็กที่อาจไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า คลื่นเสียงความถี่สูงมีความละเอียดในการตรวจสอบและสามารถเชื่อมโลหะที่มีคุณสมบัติแตกต่างอย่างชัดเจน.

    4. 4.4 ความปลอดภัย: ในกระบวนการ UT, ไม่มีการใช้รังสีแสงสนใจหรือรังสีกัมมา ทำให้เป็นกระบวนการการตรวจสอบที่ปลอดภัยต่อคนและสิ่งแวดล้อม.

    5. 4.5 การใช้กับวัสดุหลากหลาย: UT เป็นกระบวนการที่สามารถใช้กับวัสดุเชื่อมหลายประเภท เช่น เหล็ก, อลูมิเนียม, เหล็กกล้า, และวัสดุที่มีความหนาแน่นต่างๆ.

    การ UT เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการควบคุมคุณภาพและความถูกต้องของงานเชื่อมและผลิตภัณฑ์ โดยมีความสามารถในการตรวจจับความผิดปกติที่เล็กและชัดเจน และช่วยในการระบุความถูกต้องของผลิตภัณฑ์และคุณภาพของงานเชื่อมในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น การผลิตเชื่ม, การก่อสร้าง, การจัดการพลังงาน, และการก่อสร้างโครงสร้างใหญ่ เช่น สะพานและอาคารสูง. 

  1. 5.การตรวจสอบด้วยลักษณะคุณสมบัติอื่น ๆ: นอกเหนือจากกระบวนการการตรวจสอบด้วยสารสนเอกสาร, แสงสนใจ, และเสียงความถี่สูง, ยังมีหลายวิธีการตรวจสอบอื่น ๆ เช่นการตรวจสอบด้วยแม่เหล็ก, การตรวจสอบด้วยแสง, และการตรวจสอบด้วยการวัดความหนาของเหล็กช่วยในการตรวจสอบคุณภาพ.

การตรวจสอบเป็นขั้นตอนสำคัญในการทำให้งานเชื่อมมีคุณภาพสูง มันช่วยในการควบคุมและยืนยันคุณภาพของงานเชื่อม รวมถึงควบคุมความปลอดภัยและลดค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาในภายหลัง.

3.3 การทดสอบในงานเชื่อม

การทดสอบในงานเชื่อมมีเป้าหมายในการตรวจสอบคุณภาพและความแข็งแรงของงานเชื่อม ในส่วนนี้ เราจะทำความรู้จักกับการทดสอบไม่กำหนด การทดสอบทางกลม, การทดสอบด้วยการรวงอัลตราโซนิก, การทดสอบด้วยการโครงร่างหรือการรุ่งไฟฟ้า, และการทดสอบด้วยการบีบ.

        การทดสอบในงานเชื่อมเป็นกระบวนการที่นำมาใช้เพื่อตรวจสอบคุณภาพของงานเชื่อมและผลิตภัณฑ์เชื่ม การทดสอบนี้มีหลายวิธีและเป้าหมายของการทดสอบจะคล้ายคลึงกับการตรวจสอบโดยสารสนเอกสาร แต่มีการใช้วิธีการทดสอบที่แตกต่างกัน นี่คือข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทดสอบในงานเชื่อม:

  1. 3.3.1 ประเภทของการทดสอบ: มีหลายวิธีการทดสอบที่สามารถใช้ในงานเชื่อม บางวิธีเน้นการตรวจสอบคุณสมบัติของวัสดุเชื่ม อาทิเช่น Hardness Testing เพื่อวัดความแข็งของวัสดุ, Impact Testing เพื่อวัดความทนทานของวัสดุต่อกระแทก, และ Chemical Analysis เพื่อตรวจสอบสมบัติเคมีของวัสดุ.

  2. 3.3.2 การทดสอบคุณสมบัติของเชื่อม: การทดสอบนี้เน้นการตรวจสอบคุณสมบัติของเชื่อมเช่นความแข็ง, ความทนทานต่อแรงกด, ความทนทานต่อแรงกระแทก, ความทนทานต่อความร้อน, ความทนทานต่อสภาพแวดล้อม, และความเป็นพิษ.

  3. 3.3.3 การทดสอบคุณภาพเชื่อม: การทดสอบนี้เน้นการตรวจสอบคุณภาพของงานเชื่อมเอง การทดสอบคุณภาพเชื่มประกอบด้วยการตรวจสอบความผิดปกติในการเชื่มเช่นรอยร้าว, รอยเช็ด, รอยต่อ, รอยเผา, รอยแตก, และอื่น ๆ โดยใช้วิธีการต่าง ๆ เช่น Visual Inspection, Ultrasonic Testing, Radiographic Testing, Magnetic Particle Testing, Dye Penetrant Testing, และอื่น ๆ.

  4. 3.3.4 การทดสอบความพิเศษ: บางงานเชื่อมต้องผ่านการทดสอบความพิเศษเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติเฉพาะ เช่นการทดสอบความเที่ยงตรงของรางสายสวนท้าย (Welding Procedure Qualification Test) และการทดสอบความเที่ยงตรงของรางสายวงแหวน (Welding Performance Qualification Test).

  5. 3.3.5 การปฏิบัติตามมาตรฐาน: การทดสอบในงานเชื่อมควรปฏิบัติตามมาตรฐานสากลและกฎหมายท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผลการทดสอบมีความเชื่อถือและเป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพของงานเชื่อม.

           การทดสอบในงานเชื่อมเป็นขั้นตอนสำคัญในการควบคุมคุณภาพและความถูกต้องของงานเชื่ม และมันช่วยในการระบุความถูกต้องของผลิตภัณฑ์และคุณภาพของงานเชื่ม นอกจากนี้ยังช่วยในการควบคุมความปลอดภัยและป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นในงานเชื่อมที่ผิดปกติในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น การผลิตเชื่อม, การก่อสร้าง, การจัดการพลังงาน, และการก่อสร้างโครงสร้างใหญ่ เช่น สะพานและอาคารสูง.


การทดสอบความเที่ยงตรงของรางสายสวนท้าย (Welding Procedure Qualification Test) เป็นกระบวนการทดสอบที่มีวัตถุประสงค์ในการยืนยันว่ากระบวนการเชื่อมที่ใช้ในงานเชื่อมเป็นความเที่ยงตรงตามมาตรฐานและสามารถใช้กับงานเชื่อมจริงได้อย่างมั่นคง. นี่คือข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทดสอบความเที่ยงตรงของรางสายสวนท้าย:

  1. วัตถุประสงค์: การทดสอบความเที่ยงตรงของรางสายสวนท้ายมีวัตถุประสงค์ในการระบุว่ากระบวนการเชื่มที่ถูกสร้างขึ้นสามารถทำให้เชื่อมมีคุณภาพและความเที่ยงตรงตามมาตรฐานที่กำหนด โดยใช้รางสายสวนท้ายที่จะถูกนำไปใช้ในงานเชื่มจริง.

  2. การทดสอบเหตุให้: การทดสอบนี้มักใช้ในกระบวนการการผลิตเชื่อม (Welding Production) เพื่อตรวจสอบว่ากระบวนการเชื่อมที่ถูกกำหนดสามารถผลิตรางสายสวนท้ายที่มีคุณภาพและความเที่ยงตรงตามมาตรฐานหรือไม่.

  3. ขั้นตอนการทดสอบ: กระบวนการการทดสอบความเที่ยงตรงของรางสายสวนท้ายมีขั้นตอนที่หลายขั้นตอน เริ่มต้นจากการเตรียมและเชื่อมรางสายสวนท้ายตามกระบวนการที่กำหนด จากนั้นรางสายสวนท้ายจะถูกตัดเป็นชิ้นส่งผ่านกระบวนการเชื่มและความเที่ยงตรงของกระบวนการนี้จะถูกทดสอบโดยใช้เทสต์แน่นรางสาย (coupon test piece) ซึ่งเป็นรางสายที่ถูกเชื่อมขึ้นด้วยกระบวนการที่ต้องการทดสอบ. สุดท้าย, รางสายสวนท้ายจะถูกทดสอบในทุกมุมและพื้นที่สำคัญโดยใช้เทสต์แน่นรางสายเพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงและคุณภาพของเชื่อมที่ถูกสร้างขึ้น.

  4. ผลลัพธ์ของการทดสอบ: ผลลัพธ์ของการทดสอบความเที่ยงตรงของรางสายสวนท้ายจะช่วยในการระบุว่ากระบวนการเชื่อมที่ใช้สามารถผลิตรางสายสวนท้ายที่มีคุณภาพและความเที่ยงตรงตามมาตรฐานหรือไม่ หากผลลัพธ์อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดและตรงตามมาตรฐาน กระบวนการเชื่อมนี้จะได้รับการยืนยันและสามารถนำไปใช้ในงานเชื่อมจริง.

        การทดสอบความเที่ยงตรงของรางสายสวนท้ายเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมคุณภาพและความเที่ยงตรงของงานเชื่อม และในการยืนยันว่ากระบวนการเชื่อมที่ใช้เป็นความเที่ยงตรงตามมาตรฐานที่กำหนด.


        การทดสอบความเที่ยงตรงของรางสายวงแหวน (Welding Performance Qualification Test) เป็นกระบวนการทดสอบที่มีวัตถุประสงค์ในการยืนยันความสามารถของช่างเชื่อมในการทำงานเชื่อมและให้การเชื่อมที่มีคุณภาพและความเที่ยงตรงตามมาตรฐานที่กำหนด นี่คือข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทดสอบความเที่ยงตรงของรางสายวงแหวน:

  1. วัตถุประสงค์: การทดสอบความเที่ยงตรงของรางสายวงแหวนมีวัตถุประสงค์ในการยืนยันความสามารถของช่างเชื่อมในการทำงานเชื่อมและในการสร้างรางสายวงแหวนที่มีคุณภาพและความเที่ยงตรงตามมาตรฐานที่กำหนด การทดสอบนี้มักใช้ในกระบวนการการผลิตเชื่อมและการคุณภาพของงานเชื่อม. 

  2. ขั้นตอนการทดสอบ: การทดสอบความเที่ยงตรงของรางสายวงแหวนเริ่มต้นจากการเชื่อมรางสายวงแหวนตามกระบวนการที่กำหนด จากนั้น, รางสายวงแหวนที่ผ่านการเชื่อมจะถูกทดสอบในทุกมุมและพื้นที่สำคัญโดยใช้เทสต์แน่นรางสายเพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงและคุณภาพของเชื่อมที่ถูกสร้างขึ้น. การทดสอบนี้มักครอบคลุมการทดสอบความเที่ยงตรงของรางสายวงแหวนที่ถูกเชื่อมและเชื่มบนโครงสร้างของงานต่าง ๆ.

  3. ผลลัพธ์ของการทดสอบ: ผลลัพธ์ของการทดสอบความเที่ยงตรงของรางสายวงแหวนจะช่วยในการระบุว่าช่างเชื่อมมีความสามารถในการทำงานเชื่อมและสามารถสร้างรางสายวงแหวนที่มีคุณภาพและความเที่ยงตรงตามมาตรฐานหรือไม่ ผลลัพธ์จะระบุว่ากระบวนการเชื่อมที่ใช้มีคุณภาพและสามารถผลิตรางสายวงแหวนที่มีความเที่ยงตรงตามมาตรฐานหรือไม่.

        การทดสอบความเที่ยงตรงของรางสายวงแหวนเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมคุณภาพและความเที่ยงตรงของงานเชื่อม และในการยืนยันว่าช่างเชื่อมมีความสามารถในการทำงานเชื่อมและสามารถสร้างรางสายวงแหวนที่มีคุณภาพและความเที่ยงตรงตามมาตรฐานที่กำหนด.

3.4 ความสำคัญของการตรวจสอบและทดสอบในงานเชื่อม

การตรวจสอบและทดสอบในงานเชื่อมมีความสำคัญอย่างมากเพื่อการรักษาคุณภาพและความแข็งแรงของงานเชื่อม โดยการตรวจสอบและทดสอบอย่างถูกต้อง เราสามารถป้องกันข้อผิดพลาดและปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในงานเชื่อม และทำให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพสูง ๆ และความแข็งแรงที่ต้องการ.

ในบทถัดไปของหนังสือ เราจะศึกษาเรื่องการประยุกต์ใช้งานในอุตสาหกรรมและการก่อสร้างของงานเชื่อม โลหะวิทยา เพื่อให้คุณเข้าใจถึงการใช้งานและประโยชน์ที่เกี่ยวข้องในวงการนี้.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

FGR - Part.4

 NOx Reduction BY recirculating flue gas NOx 1 Nm3/H per Recirculating flue gas flow Nm3/H ? To calculate the NOx reduction efficiency in te...