วันจันทร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2566

องค์ประกอบของการเผาไหม้

 องค์ประกอบของการเผาไหม้ 3 อย่าง มีอะไรบ้าง


    การเผาไหม้เป็นกระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นเมื่อสิ่งของไหม้ได้รับการติดไฟและปล่อยพลังงานความร้อน องค์ประกอบของการเผาไหม้ 3 อย่างหลัก คือ:

  1. สิ่งของที่เผาไหม้ (Fuel): สิ่งของที่เผาไหม้คือวัสดุหรือสารที่สามารถเผาไหม้ได้ สิ่งของเหล่านี้มักมีองค์ประกอบทางเคมีที่เรียกว่า โมเลกุลอินทราซิก (molecular hydrocarbons) ซึ่งประกอบด้วยอะตอมคาร์บอนและไฮโดรเจน เช่น ไม้ น้ำมัน กากไม้ แก๊สเชื้อเพลิง เป็นต้น

    สิ่งของที่เผาไหม้ (Fuel) อธิบายเพิ่มเติม

    สิ่งของที่เผาไหม้หมายถึงวัสดุหรือสารที่สามารถเผาไหม้ได้ คุณสมบัติที่สำคัญของสิ่งของที่เผาไหม้คือการมีองค์ประกอบทางเคมีที่เรียกว่า โมเลกุลอินทราซิก (molecular hydrocarbons) ซึ่งประกอบด้วยอะตอมคาร์บอนและไฮโดรเจน. องค์ประกอบที่สำคัญของสิ่งของที่เผาไหม้ได้แก่:

    1.1 คาร์บอน (Carbon): คาร์บอนเป็นองค์ประกอบหลักของสิ่งของที่เผาไหม้ และเป็นองค์ประกอบที่เชื่อมโยงกับตนเองและกับอะตอมไฮโดรเจนในโมเลกุลอินทราซิก คาร์บอนมีความสำคัญในการสร้างหมวดหมู่ของสิ่งของที่เผาไหม้ เช่น ถ่าน และกระดาษ.

        คาร์บอน (Carbon) อธิบายเพิ่มเติม

        คาร์บอน (Carbon) เป็นอะตอมที่มีตำแหน่งที่ 6 ในตารางธาตุ (สัญลักษณ์เคมี C) และเป็นองค์ประกอบทางเคมีที่มีความสำคัญมากในทางวิทยาศาสตร์และชีววิทยา คาร์บอนมีความสำคัญในปรากฏการณ์การเผาไหม้และสถานการณ์ทางเคมีอีกหลายรูปแบบดังนี้:

        1.1.1 การเผาไหม้: ในกระบวนการการเผาไหม้, คาร์บอนเป็นส่วนสำคัญของสิ่งของที่เผาไหม้ เมื่อสิ่งของที่มีคาร์บอนถูกนำมาติดไฟและเผาไหม้, คาร์บอนจะรวมตัวกับออกซิเจนจากอากาศเพื่อสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (carbon dioxide, CO2) และปล่อยพลังงานความร้อน.

        1.1.2 อินทราซิก: ในโมเลกุลอินทราซิก, คาร์บอนรวมตัวกับไฮโดรเจนเพื่อสร้างโมเลกุลคาร์บอน-ไฮโดรเจน (hydrocarbons) ซึ่งเป็นสารหลักในน้ำมันและเชื้อเพลิงทางไฟฟ้า เป็นต้น นี่คือสารที่เผาไหม้ในหมวดหมู่ของคนที่ใช้งานอย่างแพร่หลาย.

        1.1.3 การทำอินทราเสียง: ในอินทราเสียง, คาร์บอนแสดงพฤติกรรมการสะท้อนแสงและเสียง ซึ่งมีประโยชน์ในการสร้างเครื่องมือทางทัศนศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น กระจกและไมค์โทรศัพท์.

        1.1.4 ชีววิทยา: คาร์บอนเป็นส่วนสำคัญของสารอินทราเคน (organic compounds) ที่พบในสิ่งมีชีวิต มันเป็นส่วนหนึ่งของโมเลกุลอินทราซิกที่กำหนดโครงสร้างของคอลีน DNA และสารในเซลล์ที่สำคัญสำหรับชีวิต.

        คาร์บอนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญและมีความหลากหลายในสิ่งมีชีวิตและโลกรอบตัวเรา การเข้าใจคุณสมบัติและประยุกต์ใช้คาร์บอนเป็นสิ่งที่สำคัญในการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่าง ๆ ในสาขาต่าง ๆ ของวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม


1.2 ไฮโดรเจน (Hydrogen): ไฮโดรเจนเป็นอะตอมที่ร่วมเชื่อมโยงกับคาร์บอนในโมเลกุลอินทราซิก การมีไฮโดรเจนในโมเลกุลช่วยเพิ่มความสามารถในการเผาไหม้ของสิ่งของ เนื่องจากไฮโดรเจนมีการเชื่อมโยงกับออกซิเจนในกระบวนการการเผาไหม้.

    ไฮโดรเจน (Hydrogen) อธิบายเพิ่มเติม

    ไฮโดรเจน (Hydrogen) เป็นอะตอมที่มีตำแหน่งที่ 1 ในตารางธาตุ (สัญลักษณ์เคมี H) และเป็นสารที่มีอิเล็กโทรนิกกับตัวอะตอมเดียวกับตัวอะตอมในกระบวนการทางเคมีมากที่สุด ดังนั้น ไฮโดรเจนมีคุณสมบัติทางเคมีที่น่าสนใจ และมีการประยุกต์ใช้หลายอย่าง:

        1.2.1 เชื้อเพลิง: ไฮโดรเจนเป็นส่วนหนึ่งของน้ำมันเชื้อเพลิง โดยน้ำมันเชื้อเพลิงประกอบด้วยโมเลกุลคาร์บอน-ไฮโดรเจน (hydrocarbons) ซึ่งประกอบด้วยคาร์บอนและไฮโดรเจน เมื่อน้ำมันเชื้อเพลิงไหม้ในเครื่องยนต์หรือเครื่องจักร ไฮโดรเจนจะรวมตัวกับออกซิเจนจากอากาศเพื่อสร้างก๊าซน้ำตาล (water vapor) และปล่อยพลังงานความร้อน โดยไม่มีมลพิษแก่สิ่งแวดล้อม.

        1.2.2 อุตสาหกรรม: ไฮโดรเจนมีประโยชน์ในอุตสาหกรรมที่ต้องการแทงก๊าซ ตัวอย่างเช่น ในการผลิตกระบวนการชนิดเอนเอช และในการเจริญเติบโครงสร้างของผลิตภัณฑ์เคมีอื่น ๆ

        1.2.3 พลังงานไฟฟ้า: ไฮโดรเจนสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงในเซลล์เชื้อเพลิงไฟฟ้า (fuel cells) เพื่อสร้างพลังงานไฟฟ้า โดยกระบวนการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยผลลัพธ์ที่สำคัญคือน้ำตาลเท่านั้น.

        1.2.4 การจัดเก็บพลังงาน: ไฮโดรเจนสามารถใช้เป็นสื่อในการจัดเก็บพลังงานไฟฟ้าเพื่อให้พลังงานพร้อมใช้งานเมื่อจำเป็น โดยการใช้พลังงานไฟฟ้าในกระบวนการนำไฮโดรเจนสร้างและจัดเก็บในรูปของก๊าซน้ำตาล แล้วนำกลับมาเป็นพลังงานไฟฟ้าเมื่อจำเป็น

    ไฮโดรเจนมีการประยุกต์ใช้หลายรูปแบบและมีศักยภาพในการเป็นแหล่งพลังงานที่สะอาดและมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยังมีความสำคัญในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับพลังงานในอนาคต


1.3 ออกซิเจน (Oxygen): ออกซิเจนเป็นสารที่จำเป็นสำหรับการเผาไหม้ เมื่อการติดไฟเกิดขึ้น ออกซิเจนจะรวมตัวกับสารของเผาไหม้และสร้างกระบวนการการออกซิเดชัน (oxidation) ซึ่งปล่อยพลังงานความร้อน.

    ออกซิเจน (Oxygen) อธิบายเพิ่มเติม

    ออกซิเจน (Oxygen) เป็นอะตอมที่มีตำแหน่งที่ 8 ในตารางธาตุ (สัญลักษณ์เคมี O) และเป็นสารที่มีความสำคัญมากในสิ่งมีชีวิตและกระบวนการทางเคมี นี่คือข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับออกซิเจน:

        1.3.1 ส่วนผสมในอากาศ: ออกซิเจนเป็นส่วนหนึ่งของอากาศที่เราหาในท้องฟ้า ซึ่งประกอบด้วยประมาณ 21% ของปริมาณอากาศทั้งหมด ออกซิเจนมีบทบาทสำคัญในการสร้างและรักษาชีวิตทางนาฏศิลป์ของสิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะสำหรับการหายใจของสิ่งมีชีวิตทั้งสัตว์และพืช.

        1.3.2 การหายใจ: สิ่งมีชีวิตที่มีทางเดินหายใจจะนำออกซิเจนจากอากาศเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ เพื่อใช้ในกระบวนการออกซิเดชัน (oxidation) ซึ่งช่วยในการปล่อยพลังงานที่จำเป็นสำหรับการใช้งานของร่างกาย.

        1.3.3 การเผาไหม้: ออกซิเจนเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการการเผาไหม้ โดยเมื่อสิ่งของที่มีคาร์บอนถูกนำมาติดไฟและเผาไหม้ ออกซิเจนจะรวมตัวกับสารของเผาไหม้และสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (carbon dioxide, CO2) และปล่อยพลังงานความร้อน.

        1.3.4 การใช้ในอุตสาหกรรม: ออกซิเจนมีการประยุกต์ใช้ในหลายอุตสาหกรรม เช่น ในกระบวนการเชื่อม (welding) เพื่อเพิ่มความเข้มแข็งของวัสดุโลหะ ในการผลิตแก๊สสำหรับการใช้งานทางแพทย์และโรงพยาบาล และในกระบวนการทำเลเซอร์ (laser cutting) เป็นต้น.

        1.3.5 การใช้ในการตัดและตรวจสอบ: ออกซิเจนมีความสามารถในการสนับสนุนการเผาไหม้และการใช้งานที่ใช้พลังงานมาก เช่น ในกระบวนการตัดโลหะด้วยแก๊สไฟฟ้า (oxy-fuel cutting) และในการเคลือบชิ้นงานให้เป็นชั้นที่ไม่มีละอองของวัสดุ เช่น ในกระบวนการเคลือบของงานที่ไม่ให้น้ำมันหรือน้ำเสียในอุตสาหกรรมการผลิต.

        ออกซิเจนเป็นสารที่สำคัญและมีความหลากหลายในการประยุกต์ใช้งาน ไม่เพียงแต่มีบทบาทสำคัญในการรักษาชีวิตของสิ่งมีชีวิต แต่ยังมีการใช้งานในหลายอุตสาหกรรมและแพทย์ในทั่วโลก

    สิ่งของที่เผาไหม้มักมีความหลากหลาย และแต่ละสิ่งของอาจมีความสามารถในการเผาไหม้ที่แตกต่างกัน ความหลากหลายนี้ขึ้นอยู่กับสรรพสิ่งของสิ่งของ โครงสร้างทางเคมี และสภาพแวดล้อมที่เผาไหม้เกิดขึ้น เพราะนี้เรามักจะเห็นว่าบางสิ่งของเผาไหม้ได้รับความร้อนและติดไฟง่ายกว่าอีกบางอย่าง และบางสิ่งของอาจมีการเผาไหม้ที่สมบูรณ์แบบมากขึ้นและปล่อยพลังงานความร้อนมากขึ้น ตัวอย่างของสิ่งของที่เผาไหม้ได้รวมถึงไม้ กระดาษ น้ำมัน แก๊สเชื้อเพลิง และหลายอย่างอื่น ๆ ที่มีความสามารถในการเผาไหม้ในสถานการณ์ต่าง ๆ และในแวดล้อมที่แตกต่างกัน


2. ออกซิเจน (Oxygen): ออกซิเจนเป็นสารที่จำเป็นสำหรับการเผาไหม้ เมื่อสิ่งของที่เผาไหม้รับการติดไฟและมีการเผาไหม้ ออกซิเจนจะรวมตัวกับสารของเผาไหม้และสร้างกระบวนการทางเคมีที่เรียกว่า การออกซิเดชัน (oxidation) เพื่อปล่อยพลังงานความร้อน

การออกซิเดชัน (oxidation)  อธิบายเพิ่มเติม

การออกซิเดชัน (Oxidation) เป็นกระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นเมื่อสารหรือองค์ประกอบได้รับออกซิเจน (oxygen) หรือการสูญเสียอิเล็กตรอน ซึ่งสามารถเป็นผลมาจากการตอบสนองต่อสารหรือสภาวะที่มีออกซิเจน กระบวนการออกซิเดชันมักเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการการเผาไหม้ (combustion) และมีบทบาทสำคัญในการเกิดพลังงาน นอกจากนี้ยังมีการออกซิเดชันในกระบวนการเคมีอื่น ๆ และในกระบวนการชีวเคมีด้วย โดยออกซิเดชันสามารถเรียกว่า "การไหม้" เมื่อเกิดในบรรยากาศ หรือ "การออกซิเดชันชนิดแก๊ส" เมื่อเกิดในสภาวะแก๊สหรือโลหะ นี่คือข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการออกซิเดชัน:

        2.1 การเผาไหม้ (Combustion): การเผาไหม้เป็นกระบวนการออกซิเดชันที่เกิดเมื่อสารหรือองค์ประกอบเช่น น้ำมัน ไม้ หรือแก๊สเชื้อเพลิงได้รับการติดไฟและสร้างก๊าซออกซิเจนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (carbon dioxide) ซึ่งปล่อยพลังงานความร้อน กระบวนการนี้มักเกิดในบรรยากาศและมีบทบาทสำคัญในการสร้างพลังงานที่ใช้งานในสถานการณ์ต่าง ๆ ไปจนถึงการขับเคลื่อนยานพาหนะและอุตสาหกรรม.

        2.2 การออกซิเดชันในเคมี: การออกซิเดชันเป็นกระบวนการทางเคมีที่สารหรือองค์ประกอบสัมพันธ์กับออกซิเจน ซึ่งมักประกอบด้วยการสลับอิเล็กตรอน การออกซิเดชันสามารถเกิดขึ้นในรูปแบบของการยอมรับอิเล็กตรอน (reduction) และการขาดอิเล็กตรอน (oxidation) โดยตัวอย่างสารที่เป็นผลมาจากการออกซิเดชันได้แก่ แร่ธาตุที่มีสภาวะการเปลี่ยนเป็นอิเล็กตรอนและใช้ในกระบวนการเทคโนโลยีและอุตสาหกรรม เช่น เหล็กที่สภาวะการเปลี่ยนเป็นอิเล็กตรอนในกระบวนการสร้างเหล็ก.

        2.3 การออกซิเดชันในชีววิทยา: การออกซิเดชันเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการทางชีววิทยา เช่น ในการย่อยอาหารในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตเพื่อสร้างพลังงาน สารออกซิเดชันที่สำคัญที่เกิดขึ้นในร่างกายมนุษย์รวมถึงกระบวนการการหายใจและการนำออกซิเจนไปใช้งานในสร้างพลังงานสำหรับการเคลื่อนที่และการรักษาชีวิตของเซลล์และเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย.

        การออกซิเดชันเป็นกระบวนการที่สำคัญและรู้จักในหลายสาขาของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการนี้ช่วยให้เข้าใจหลักการทางเคมีและวิทยาศาสตร์ของพลังงานและการเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ในระบบชีวิตและสิ่งแวดล้อม


3. ความร้อนหรือแหล่งพลังงาน (Heat or Ignition Source): เพื่อให้การเผาไหม้เริ่มต้น ต้องมีแหล่งพลังงานภายนอกที่เรียกว่าการติดไฟหรือความร้อน โดยการติดไฟอาจเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย เช่น ไฟขนาดเล็ก การทางไฟฟ้า ความร้อนจากการแตกต่างของอุณหภูมิ หรือการเกิดการแตกต่างทางกลศาสตร์

    เมื่อสามองค์ประกอบเหล่านี้รวมตัวกันในเงื่อนไขที่เหมาะสม กระบวนการการเผาไหม้จะเกิดขึ้น และสิ่งของที่เผาไหม้จะปล่อยพลังงานความร้อนและแสงตามมา นี่คือพื้นฐานเกี่ยวกับการเผาไหม้และสามองค์ประกอบสำคัญของมัน


ความร้อนจากการแตกต่างของอุณหภูมิ อธิบายเพิ่มเติม

        ความร้อนจากการแตกต่างของอุณหภูมิ (Heat Transfer due to Temperature Difference) เป็นกระบวนการทางฟิสิกส์ที่เกิดขึ้นเมื่อสารหรือวัตถุที่มีอุณหภูมิสูงสุดมีการถ่ายออกพลังงานความร้อนไปยังสารหรือวัตถุที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า โดยที่ความร้อนเคลื่อนที่จากสิ่งที่มีอุณหภูมิสูงไปยังสิ่งที่มีอุณหภูมิต่ำเพื่อให้การแจกแจงอุณหภูมิสมดุล

        กระบวนการการถ่ายออกความร้อนนี้เป็นสิ่งสำคัญในการทำความเข้าใจและใช้งานในหลายสถานการณ์ และมีสามวิธีหลักในการถ่ายออกความร้อน:

        1. Conduction: เป็นกระบวนการที่ความร้อนถ่ายเทจากอนุญาติให้โมเลกุลหรืออนุญาติในวัตถุที่มีการรวมอยู่ กระบวนการนี้เกิดขึ้นในวัตถุแข็งเช่นเหล็กหรือที่ดินและในตัวเหล็กหรือสารที่มีโครงสร้างทางเคมีที่เกี่ยวข้องกับโมเลกุลที่อยู่ใกล้กัน โมเลกุลที่ได้รับพลังงานความร้อนจะส่งต่อพลังงานนี้ไปยังโมเลกุลที่อยู่ใกล้เคียง โดยสารที่อยู่ใกล้สุดจะร้อนขึ้น ซึ่งสามารถเห็นในกรณีของการเผาไหม้เช่นเมื่อจับเหยือกใกล้กับก้นกระทะเริ่มมีความร้อน.

        2. Convection: เป็นกระบวนการของของเหลวเกิดขึ้นเมื่อสารเหลว (เช่น น้ำ) ถูกทำให้อุณหภูมิต่าง ๆ ภายในเหลว เริ่มเคลื่อนไปและสลับที่กับสารอื่น ๆ ที่มีอุณหภูมิต่าง ๆ นี้ กระบวนการนี้สร้างกระแสความร้อนในของเหลว โดยสารที่ร้อนจะขึ้นไปด้านบนและสารที่เย็นลงมาด้านล่าง นี่คือเหตุผลที่เราเห็นกระแสความร้อนขึ้นมาจากด้านล่างของกระทะเมื่อน้ำเดือด.

        3. Radiation: เป็นกระบวนการที่ความร้อนถ่ายออกในรูปแบบของ electromagnetic waves และสามารถถ่ายทอดความร้อนผ่านอากาศหรือว่าเว็บไซต์ชนิดอื่น ๆ ได้โดยไม่ต้องมีสื่อที่ถ่ายออกความร้อนในระหว่างนี้ เป็นกระบวนการที่เรามักเห็นในรูปแบบของความร้อนจากรังสีแสงแดดหรือความร้อนที่ถ่ายออกจากเครื่องใช้ไฟฟ้าเช่นหลอดไฟหลอด LED.


การเกิดการแตกต่างทางกลศาสตร์ อธิบายเพิ่มเติม

       การเกิดการแตกต่างทางกลศาสตร์ (Mechanical Displacement) เป็นกระบวนการทางฟิสิกส์ที่เกิดขึ้นเมื่อวัตถุหรือสารมีการเคลื่อนที่จากตำแหน่งหนึ่งไปยังตำแหน่งอื่น ๆ ที่ห่างออกไป กระบวนการนี้เป็นผลมาจากแรงที่กระทำต่อวัตถุและเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของวัตถุนั้น ๆ ในขณะที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสถานะของวัตถุเอง

       ในกลศาสตร์มีสามสถานะการเคลื่อนที่หลัก คือ:

    1. การเคลื่อนที่แบบเส้นตรง (Translation): นี่คือการเคลื่อนที่ที่วัตถุหรือสารเคลื่อนที่จากตำแหน่งหนึ่งไปยังอีกตำแหน่งหนึ่งโดยไม่มีการหมุนหรือเลื่อนเอียง ตัวอย่างเช่นการขับรถหน้าไปข้างหน้าหรือการเคลื่อนที่ของลูกบอลที่ถูกขว้าง.

    2. การหมุน (Rotation): นี่คือการเคลื่อนที่ที่วัตถุหรือสารมีการหมุนรอบแกนหรือจุดหมุน ตัวอย่างเช่นการหมุนของล้อรถหรือการหมุนของโครงกายมนุษย์เมื่อท่านหมุนหัว.

    3. การเคลื่อนที่เรียงกัน (Vibration): นี่คือการเคลื่อนที่ที่วัตถุหรือสารมีการเคลื่อนที่ไปมาบนเส้นทางที่เจาะจง โดยไม่เปลี่ยนแปลงตำแหน่งหรือทิศทางหลัก ตัวอย่างเช่นการเคลื่อนที่ของโมเลกุลในสารที่เป็นของแข็ง (เช่นการสั่นของอะตอมในโครงสร้างของวัตถุ) หรือการเคลื่อนที่ของเสียงที่เป็นคลื่นแบบแกลบ.

    การแตกต่างทางกลศาสตร์เกิดขึ้นเมื่อมีแรงที่กระทำต่อวัตถุหรือสาร เราสามารถใช้หลักการทางกลศาสตร์เพื่อคำนวณความเร็ว ความเร่ง แรง และการเคลื่อนที่ของวัตถุหรือสารในระหว่างการแตกต่าง นอกจากนี้การเข้าใจการแตกต่างทางกลศาสตร์ยังมีความสำคัญ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

FGR - Part.4

 NOx Reduction BY recirculating flue gas NOx 1 Nm3/H per Recirculating flue gas flow Nm3/H ? To calculate the NOx reduction efficiency in te...