วันอังคารที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2566

การเผา คาร์บอน (Carbon)

อธิบาย การเผา คาร์บอน (Carbon)

    การเผาคาร์บอน (Carbon Combustion) เป็นกระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นเมื่อคาร์บอน (Carbon, C) สัมพันธ์กับออกซิเจน (Oxygen, O2) และก่อให้เกิดการออกซิเดชัน (oxidation) ของคาร์บอน (*1) โดยส่งผลให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Dioxide, CO2)(*2) และปล่อยพลังงานความร้อนออกมา กระบวนการนี้มักเรียกว่า "การเผาคาร์บอน" หรือ "การเผาไหม้คาร์บอน" และมีความสำคัญในหลายแง่ของชีวิตประจำวันและอุตสาหกรรม เช่น การเผาน้ำมันเชื้อเพลิงหรือการเผาถ่านเพื่อผลิตพลังงานหรือความร้อน.

(*1) "อธิบายเพิ่มเติม การก่อให้เกิดการออกซิเดชัน (oxidation) ของคาร์บอน อย่างละเอียด

    การออกซิเดชัน (Oxidation) ของคาร์บอน (Carbon) เป็นกระบวนการทางเคมีที่คาร์บอนปฏิกิริยากับออกซิเจน (Oxygen, O2) เมื่อมีการส่งผ่านพลังงานในรูปแบบของความร้อนหรือการติดไฟ กระบวนการนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเผาไหม้หรือการเกิดไฟ และเป็นกระบวนการทางเคมีที่สำคัญในชีวิตประจำวันและอุตสาหกรรมต่าง ๆ

กระบวนการออกซิเดชันของคาร์บอนมีขั้นตอนหลักดังนี้:

    1. การเริ่มต้น (Initiation): กระบวนการนี้ต้องการพลังงานเริ่มต้นเพื่อทำให้การสัมพันธ์ระหว่างคาร์บอนและออกซิเจนเริ่มขึ้น มันสามารถเกิดขึ้นด้วยการใช้ความร้อน (heat), แสงแรงสูง (light), หรือการชน (collision) ระหว่างอะตอมหรือโมเลกุลของคาร์บอนและออกซิเจน ตัวอย่างเช่น ในกระบวนการเผาไหม้ที่ใช้ไฟไหม้เริ่มต้นจากการเรียกร้อนด้วยไฟ หรือการใช้แสงแรงสูงในกระบวนการเผาแก๊สเรือนกระจก.

    2. การสัมพันธ์ (Propagation): ในขั้นตอนนี้คาร์บอนและออกซิเจนสัมพันธ์กันเพื่อสร้างสารตั้งต้นที่เรียกว่า "ราชิก" (radical) โดยราชิกคือโมเลกุลที่มีอิเล็กตรอนออกซิเดชันที่ไม่เต็ม ซึ่งทำให้มีอิเล็กตรอนอิสระเคลื่อนที่ได้ ราชิกนี้จะสามารถทำสัมพันธ์ต่อไปกับคาร์บอนและออกซิเจนเพื่อสร้างราชิกใหม่ และกระบวนการนี้จะเกิดต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ

3. การสิ้นสุด (Termination): ในขั้นตอนสุดท้าย ราชิกที่สร้างขึ้นจากการสัมพันธ์ระหว่างคาร์บอนและออกซิเจนจะสามารถสร้างสารที่ไม่มีโมเลกุลราชิกได้ ซึ่งสามารถสิ้นสุดกระบวนการออกซิเดชันได้ การสิ้นสุดนี้อาจเกิดขึ้นโดยการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีโมเลกุลที่ไม่มีราชิกเป็นส่วนผสม หรือโดยการกระตุ้นจากการสัมพันธ์ระหว่างราชิก.

    กระบวนการออกซิเดชันของคาร์บอนมีความสำคัญในหลายแง่ของชีวิตประจำวันและอุตสาหกรรม เช่น ในการเผาน้ำมันเชื้อเพลิงในรถยนต์เพื่อขับเคลื่อนหรือผลิตพลังงานไฟฟ้า ในกระบวนการทำอาหาร และในการผลิตวัตถุเคมีต่าง ๆ การควบคุมกระบวนการออกซิเดชันสำคัญเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานและลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยในบรรยากาศ ซึ่งมีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและสภาวะโลกร้อน."

(*2)"อธิบายเพิ่มเติม คาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Dioxide, CO2) อย่างละเอียด

    คาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Dioxide, CO2) เป็นก๊าซที่ประกอบด้วยอะตอมคาร์บอน (C) และอะตอมออกซิเจน (O2) โดยสัดส่วนและสัดส่วนของจำนวนอะตอมคาร์บอนต่อจำนวนอะตอมออกซิเจนใน CO2 เป็น 1:2 ซึ่งแปลว่ามีอะตอมออกซิเจนสองเท่าของอะตอมคาร์บอนในโครงสร้างของ CO2

    คาร์บอนไดออกไซด์เป็นก๊าซสีเขียวขึ้นสีใสและไม่มีกลิ่น มันมีความหนาแน่นต่ำมากและเป็นส่วนหนึ่งของบรรยากาศที่เราหายใจเข้าไปทุกวัน การเรียก CO2 ว่า "ก๊าซเรือนกระจก" ก็เพราะมันมีความสามารถในการดักกักความร้อนและสารบางสารต่าง ๆ ในบรรยากาศและส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ความร้อนโลกร้อน ซึ่งเป็นปัญหาสภาวะโลกร้อน

    นอกจากนี้ CO2 เป็นส่วนสำคัญในกระบวนการสัมพันธ์ทางชีวเคมี มันถูกสร้างขึ้นในกระบวนการการหายใจของสิ่งมีชีวิต เมื่อสิ่งมีชีวิตหายใจเข้าและออกก๊าซเข้าต่าง ๆ ที่ในกระบวนการนี้ CO2 ถูกผลิตขึ้น นอกจากนี้ มันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการคาร์บอนไซเคิล (Carbon Cycle) ที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ ที่เกี่ยวข้องกับการระบายออกในแดดและการใช้โดยพืชในกระบวนการฟอสซิลเลส

CO2 ยังมีการใช้งานในหลายแวดวงทางอุตสาหกรรม เช่น:

    1. การเผาไหม้เพื่อผลิตพลังงาน: ในกระบวนการเผาน้ำมันเชื้อเพลิงและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้แหล่งพลังงานจากเชื้อเพลิง

    2. การผลิตอาหารและเครื่องดื่ม: ในกระบวนการเครื่องดื่มโซดาและในกระบวนการหมักเหล้าหรือเบียร์

    3. การเกษตรและเกษตรกรรม: เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืชในโรงเรือนหรือโรงเรือนปฏิบัติการเกษตร

    4. การประมวลผลอาหารและเครื่องดื่ม: เช่น ในกระบวนการทำคาร์บอเนตที่ใช้ในการคาร์บอเนตน้ำเชื่อมและอื่น ๆ.

    CO2 เป็นสารที่มีความสำคัญในความมีชีวิตและกำลังมีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและสภาวะโลกร้อน เพราะมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงทางอุณหภูมิในบรรยากาศ การควบคุมปล่อย CO2 ในบรรยากาศเป็นส่วนสำคัญในการลดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและสร้างมิตรภาพกับสภาวะโลกร้อนในอนาคต"


กระบวนการเผาคาร์บอนมีขั้นตอนหลักดังนี้:

        1. การสำรองพลังงานเริ่มต้น: เพื่อเริ่มกระบวนการเผาคาร์บอนจำเป็นต้องใช้พลังงานเริ่มต้น เป็นที่เรียกว่าพลังงานการเริ่มต้น (Activation Energy)(*3) เพื่อทำให้การสัมพันธ์ระหว่างคาร์บอนและออกซิเจนเกิดขึ้น การใช้เปลือกไฟหรือการใช้ไฟเริ่มต้นเป็นตัวอย่างของวิธีในการสร้างพลังงานเริ่มต้นในกระบวนการเผาคาร์บอน.

   อธิบายเพิ่มเติม พลังงานการเริ่มต้น (Activation Energy) อย่างละเอียด(*3)

    พลังงานการเริ่มต้น (Activation Energy)เป็นค่าพลังงานที่จำเป็นในกระบวนการเคมีเมื่อสารหรือโมเลกุลต้องผ่านขั้นตอนการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ในการนี้ต้องมีการยับยั้ง (หรือการแตกต่างของโมเลกุล) เพื่อให้กระบวนการเริ่มต้นและเกิดสารผลิตภัณฑ์เป็นไปได้ ในกระบวนการเคมี โมเลกุลจะต้องมีพลังงานเพิ่มเติมเพื่อทำให้ลิงก์สัมพันธ์ระหว่างอะตอมหรือโมเลกุลที่กำหนดโดยการสัมพันธ์ทางเคมีถูกแตกต่าง จนถึงจุดที่สารสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ได้ พลังงานการเริ่มต้นเป็นสิ่งที่บังคับใช้ในกระบวนการนี้ และมักแสดงในหน่วยของจูลล์ (Joules) หรือแคลอรี (Calories) ซึ่งเป็นหน่วยของพลังงาน.

 ความสำคัญของพลังงานการเริ่มต้น:

    1.1. เป็นขั้นตอนความรุนแรง: พลังงานการเริ่มต้นเป็นขั้นตอนความรุนแรงในกระบวนการเคมี โมเลกุลต้องมีพลังงานเพิ่มเติมเพื่อยับยั้ง แตกต่าง หรือปล่อยอิเล็กตรอน เพื่อทำให้การสัมพันธ์เคมีเกิดขึ้น หากไม่มีพลังงานการเริ่มต้นพอเพียง กระบวนการเคมีอาจจะไม่เกิดขึ้นเลย.

    1.2. ควบคุมความเร็วของการตอบสนอง: พลังงานการเริ่มต้นมีผลกับความเร็วของการตอบสนองในกระบวนการเคมี โมเลกุลที่มีพลังงานการเริ่มต้นต่ำมักตอบสนองช้า ในขณะที่โมเลกุลที่มีพลังงานการเริ่มต้นสูงมักตอบสนองเร็วขึ้น.

    1.3. การควบคุมความเสี่ยง: พลังงานการเริ่มต้นยังเป็นสิ่งที่ช่วยควบคุมความเสี่ยงในกระบวนการเคมี มันสามารถหลอกให้สารไม่สัมพันธ์กับกันโดยไม่ผลิตสารผลิตภัณฑ์ที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งเป็นมูลเสียในกระบวนการเคมี.

    การเริ่มต้นเป็นสิ่งสำคัญในการเข้าใจและควบคุมกระบวนการเคมี และมีแรงจูงใจในการวิจัยและพัฒนาสารเคมี การเผยแพร่ความเรียนรู้ในการควบคุมการเผาไหม้และความเป็นอันตรายในสถานการณ์ที่ต้องใช้พลังงานการเริ่มต้น เช่น การจัดการวัตถุระเบิดหรือวัตถุเคมีที่มีพลังงานการเริ่มต้นสูงมาก.

        

        2. การสัมพันธ์ระหว่างคาร์บอนและออกซิเจน(*4) : เมื่อพลังงานเริ่มต้นถูกใช้ เมื่อคาร์บอนสัมพันธ์กับออกซิเจนจะเกิดการออกซิเดชัน ซึ่งคาร์บอนจะรับออกซิเจนและตัวออกซิเจนจะรับอิเล็กตรอนจากคาร์บอน กระบวนการนี้สร้างพลังงานความร้อนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ซึ่งเป็นผลมาจากการผสมของคาร์บอนและออกซิเจน.

(*4) "อธิบายเพิ่มเติม การสัมพันธ์ระหว่างคาร์บอนและออกซิเจน  ของคาร์บอน อย่างละเอียด

    การสัมพันธ์ระหว่างคาร์บอนและออกซิเจนเป็นกระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นเมื่อคาร์บอนสัมพันธ์กับออกซิเจนในเงื่อนไขที่มีการใช้พลังงานเพื่อทำให้การสัมพันธ์นี้เกิดขึ้น กระบวนการนี้เป็นกระบวนการออกซิเดชัน (Oxidation) ที่ทำให้คาร์บอนตกออกไปในรูปของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Dioxide, CO2) โดยมีสูตรเคมีดังนี้:


คาร์บอน (C) + ออกซิเจน (O2) -> ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)


    นี่คือสูตรเคมีของกระบวนการเผาไหม้ที่เกิดขึ้นในสภาพที่มีการส่งผ่านพลังงานในรูปแบบความร้อนหรือไฟเพื่อเริ่มต้นกระบวนการออกซิเดชัน กระบวนการนี้มีความสำคัญในหลายแง่ดังนี้:

        2.1. การใช้พลังงาน: การเผาไหม้หรือกระบวนการออกซิเดชันของคาร์บอนต้องใช้พลังงานเพื่อเริ่มต้นกระบวนการ นี้เรียกว่าพลังงานการเริ่มต้น (Activation Energy) และสามารถเกิดขึ้นได้โดยการใช้ความร้อนหรือแสงแรงสูง เมื่อพลังงานการเริ่มต้นถูกใช้ คาร์บอนสามารถสัมพันธ์กับออกซิเจนเพื่อสร้าง CO2 และปล่อยพลังงานความร้อน.

        2.2. การผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์: กระบวนการนี้ผลิต CO2 ซึ่งเป็นก๊าซที่มีความสำคัญในสภาวะโลกร้อน เนื่องจาก CO2 มีความสามารถในการดักกักความร้อนและสร้างปรากฏการณ์กระทบร้อนโลกระดับ ทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก.

        2.3. การใช้ในอุตสาหกรรมและชีวิตประจำวัน: การเผาไหม้คาร์บอนเป็นกระบวนการที่ใช้ในหลายอุตสาหกรรม เช่น การผลิตพลังงานไฟฟ้า การใช้เชื้อเพลิงในรถยนต์ และการทำอาหาร นอกจากนี้ การเผาถ่านเพื่อผลิตความร้อนในบ้านและโรงงานก็เป็นการเผาคาร์บอน.

        การสัมพันธ์ระหว่างคาร์บอนและออกซิเจนในกระบวนการออกซิเดชันเป็นกระบวนการทางเคมีที่สำคัญในการผลิตพลังงานและมีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม ดังนั้นการควบคุมและลดปริมาณ CO2 ที่ปล่อยในบรรยากาศจึงเป็นสิ่งสำคัญในการลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาวะโลกร้อนในอนาคต."

        3. การปล่อยพลังงานความร้อน: ในขณะที่การสัมพันธ์ระหว่างคาร์บอนและออกซิเจนเกิดขึ้น พลังงานความร้อนถูกปล่อยออกมา ซึ่งทำให้เกิดความร้อนและความเผา (flame) ซึ่งสามารถใช้งานในหลายรูปแบบ เช่น ในการทำอาหาร การผลิตพลังงานไฟฟ้า หรือการทำความร้อนในโรงงานและอุตสาหกรรม.

        4. การสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์: กระบวนการเผาคาร์บอนสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ซึ่งเป็นก๊าซที่มีออกซิเจนและคาร์บอนเป็นส่วนผสม นี่คือสารที่มีความเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิตและมีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม เนื่องจากมีความสัมพันธ์กับการเพิ่มความร้อนโดยเฉพาะในกรณีของการเปลืองพลังงานและการเปิดเผยต่อแสงอัลตราไวโลเลต (Ultraviolet, UV) จากแสงแดด.

        การเผาคาร์บอนมีความสำคัญในการผลิตพลังงานและความร้อนในหลายอุตสาหกรรมและในชีวิตประจำวัน เช่น การใช้ถ่านหินหรือหม้อเผาไม้ในการทำความร้อนในบ้าน การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในรถยนต์ และการใช้พลังงานไฟฟ้าที่สร้างจากการเผาไหม้น้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติในโรงไฟฟ้า การควบคุมและความรอบคอบในกระบวนการเผาคาร์บอนมีความสำคัญในการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศและการสนับสนุนความยั่งยืนในการใช้พลังงาน.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

FGR - Part.4

 NOx Reduction BY recirculating flue gas NOx 1 Nm3/H per Recirculating flue gas flow Nm3/H ? To calculate the NOx reduction efficiency in te...